รถใช้ในเมือง VS รถใช้นอกเมือง ควรเลือกใช้ เกียร์ออโต้ หรือเกียร์ธรรมดา

ในปัจจุบัน “รถยนต์” คือยานพาหนะที่จำเป็นในการเดินทางมากที่สุด ซึ่งมีทั้งรถยนต์ เกียร์ออโต้ และ เกียร์กระปุก ซึ่งสามารถเลือกใช้งานได้ตามความถนัด นอกจากนี้ยังมี “ประเภทรถยนต์” อีกมากมาย ที่มีความสำคัญมาก ๆ ในการตัดสินใจเลือกซื้อ เพราะแต่ละประเภทล้วนมีลักษณะการใช้งานที่จำเพาะ แตกต่างกันออกไป หากต้องการให้รถยนต์คู่ใจอยู่กับคุณไปนาน ๆ แน่นอนว่าจะต้องเลือกใช้รถให้ถูกประเภท พร้อมกับรู้จัก การดูแลรถ ที่เหมาะสมด้วย

รถ เกียร์ออโต้ vs เกียร์กระปุก ควรเลือกใช้แบบไหน !?

รถที่เกียร์ต่างกัน ย่อมส่งผลถึง “ราคา” ที่แตกต่างกันออกไปด้วย ในส่วนนี้แน่นอนว่า มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์ของแต่ละคนด้วยเช่นกัน และยังรวมถึงในเรื่องของ “สมรรถนะ” ความสะดวกสบายในการใช้งาน แต่ไม่ว่าเดิมทีคุณจะเป็นคน ใช้รถในเมือง หรือเน้นแค่ ใช้รถต่างจังหวัด สิ่งสำคัญที่คุณคือ การทำความเข้าใจระบบการทำงานของรถยนต์ที่ระบบส่งกำลังต่างกันทั้ง 2 ประเภท ให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อ ซึ่ง BEZ ได้รวบรวมรายละเอียด ความแตกต่างของเกียร์ มาให้คุณได้นำไปประกอบการตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว ไปดูกันเลย!

เกียร์ธรรมดา

เกียร์ธรรมดา (Manual) หากมองในลักษณะการขับขี่ ผู้ขับขี่จะต้อง “เปลี่ยนเกียร์ด้วยตัวเอง” ตลอดระยะทางที่ต้องการเดินทาง โดยเปลี่ยนเกียร์ตาม “อัตราความเร่งของเครื่องยนต์” หรือที่นิยมเรียกกันว่า “รอบเครื่อง” นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้เกียร์ธรรมดาแตกต่างจากเกียร์ออโต้คือ การมีคลัทช์ ผู้ขับขี่จะต้องเหยียบคลัทช์เสมอเพื่อช่วยในการเปลี่ยนเกียร์ และถ้าหากจะถามถึง “ข้อดี” ของการใช้รถที่มาพร้อมกับเกียร์ประเภทนี้ มีอะไรบ้างเราไปดูกัน
  • ประหยัดน้ำมันได้มากกว่าเกียร์ออโต้

  • รถเกียร์ธรรมดา ราคาถูกกว่าเกียร์ออโต้ฯ 

  • อัตราการสูญเสียกำลังจากเครื่องยนต์ผ่านเกียร์น้อยกว่า

  • ให้ความทนทานได้มากกว่า

เกียร์ออโต้

เกียร์ออโต้หรือที่หลายคนคุ้นเคยในชื่อว่าเกียร์อัตโนมัติ ที่ปัจจุบันบนท้องถนนส่วนใหญ่จะเป็นรถที่ใช้เกียร์ประเภทนี้ เป็นรถยนต์ที่การส่งกำลังจะเปลี่ยนอัตราทดเกียร์ให้เองโดยอัตโนมัติ เพียงแค่เหยียบคันเร่ง โดยจะเปลี่ยนเกียร์ตามความเร็วและรอบเครื่อง ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 2 รูปแบบหลัก ๆ ที่ผู้ผลิตรถยนต์เลือกใช้งาน

1. เกียร์อัตโนมัติแบบ CVT (Continuously Variable Transmission)

เกียร์อัตโนมัติที่มีสายพานเป็นตัวช่วยในการส่งกำลัง ทำให้แต่ละอัตราทดของเกียร์ถูกเปลี่ยนอย่างราบรื่น สมูท เป็นรูปแบบของเกียร์ออโต้ที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากสามารถรักษาสมดุลรอบเครื่องได้เป็นอย่างดี ช่วยให้คุณเปลี่ยนเกียร์ได้นุ่มนวลมากขึ้น ไม่กระตุก ที่สำคัญยังช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้มากกว่าอีกด้วย

2. เกียร์อัตโนมัติแบบทอร์คคอนเวอร์เตอร์

เกียร์แบบทอร์คคอนเวอร์เตอร์หากเทียบกับระบบเกียร์ CVT จะเห็นได้ถึงการสูญเสียกำลังจากเครื่องยนต์ที่มากกว่า แต่สำหรับระบบทอร์คคอนเวอร์เตอร์ในปัจจุบัน ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิมแต่ก่อนมาก พูดง่าย ๆ ว่าพัฒนาให้ไปไกลยิ่งกว่าเดิมหลายเท่าตัว การทำงานหลัก ๆ จะมีกังหันและของเหลวอย่างน้ำมันเกียร์ในการช่วยส่งเป็นแรงดันไฮโดรลิกที่รับมาจากคันเร่งเพื่อเปลี่ยนอัตราทด

หลังจากที่ได้ทำความเข้าใจระบบเกียร์อัตโนมัติทั้ง 2 รูปแบบ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เชื่อว่าหลายคนยังคงหาคำตอบในส่วนของ “ข้อดี” ที่ทำให้เกียร์ออโต้แตกต่างจากเกียร์ธรรมอยู่อย่างแน่นอน และ BEZ จึงได้ทำการรวบรวมข้อดีมาอธิบายให้คุณเข้าใจ ดังนี้

 

  • เกียร์ออโต้ง่ายต่อการใช้งาน เพราะไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเกียร์ตามอัตราเร่ง ไม่ต้องเหยียบคลัทช์ให้เมื่อย

  • มาพร้อมกับออฟชั่นหรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ช่วยให้คุณสะดวกสบายมากขึ้นกว่าเดิม

  • ในกรณีที่ติดไฟแดงนาน ๆ ไม่จำเป็นจะต้องเหยียบคลัทช์ แถมยังช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้ดีมาก ๆ

ใช้รถในเมือง VS ใช้รถนอกเมือง ควรเลือกใช้เกียร์แบบไหน ?

เชื่อว่าคำถามนี้ถือเป็นความสงสัยที่ติดอยู่ในใจ “มือใหม่หัดขับ” หลาย ๆ คนพอสมควร ด้วยความแตกต่างในหลาย ๆ ด้าน อาทิ ราคา ความคล่องตัว และการใช้งาน อาจทำให้การตัดสินใจเป็นเรื่องที่ยากตามไปด้วย BEZ ขออธิบายตามการใช้งานจริงเลยว่า

ใช้รถในเมือง เกียร์ออโต้ขับขี่ง่ายกว่า

 

หากคุณเป็นคนที่ “เพิ่งหัดขับ” และไม่ใช่ประเภทที่ต้องขึ้นเขาลงห้วย หรือ ใช้รถในเมือง เน้นใช้รถในเมืองที่การจราจรหนาแน่น การเลือกใช้รถยนต์ที่เป็นเกียร์ออโต้แม้ว่าจะมีราคาจ่ายที่สูงกว่า แต่ช่วยให้การใช้งานรถยนต์มีความง่ายกว่า ต่อให้ไม่มีทักษะในการขับมากมายอะไรก็สามารถขับเคลื่อนไปบนต้องถนนได้อย่างง่ายดาย

ใช้รถนอกเมือง เหมาะกับรถเกียร์ธรรมดา 

 

แต่ถ้าหากคุณมีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัดและ ใช้รถต่างจังหวัด หรือชอบไปพักผ่อนหย่อนใจตามนอกเมืองบ่อย ๆ หรือแม้กระทั่งเป็น “สายซิ่ง” สายแข่ง ชอบใช้รถที่อัตราการตอบสนองเกียร์ทำได้รวดเร็วดั่งใจ การเลือกใช้รถยนต์เกียร์ธรรมดาจะตอบโจทย์ได้มากกว่า เพราะไม่ว่าคุณจะเข้าโค้ง ขับบนทางลาดชัน หรือแม้กระทั่งการเข้าเกียร์ให้เหมาะกับรอบเครื่องแต่ละจังหวะการขับขี่ เกียร์ธรรมดา เป็นตัวเลือกที่ดี ที่จะช่วยให้คุณซึมซับพละกำลังของเครื่องยนต์ได้ชัดเจนมากกว่า

การดูแลรถ ว่าด้วยส่วนของเกียร์ ทำได้อย่างไรบ้าง ?

 

BEZ จะพาคุณไปทำความรู้จักการดูแลรถยนต์ในส่วนของเกียร์ เพื่อป้องกันปัญหา รถติด รถดับ รวมถึงปัญหาอื่น ๆ ที่อาจจะตามมาในอนาคต เกียร์ออโต้ที่มีระบบการทำงานที่ซับซ้อนมากกว่าเกียร์ธรรมดา เกียร์กระปุกที่ทนทานกว่าแต่ยังต้องการการดูแล ดังนั้นเพื่อการใช้งานรถยนต์ที่คุ้มค่าของตัวรถ และป้องกันความเสียหายอื่น ๆ เราจึงได้รวบรวมวิธีการดูแลมาให้คุณได้ทำความเข้าใจ ดังนี้

ขับขี่แบบนี้ “เกียร์พัง” แน่นอน !

 

สิ่งสำคัญอันดับแรก ๆ ที่ส่งผลให้เกียร์รถพัง แน่นอนว่าจะเป็นอื่นใดไปไม่ได้ นอกจาก “พฤติกรรมการใช้รถ” ของแต่ละบุคคล หากสังเกตตัวเองแล้วพบว่าคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่มักเหยียบเร่งแรง ๆ แบบกระแทก “ทุกครั้ง” ที่ออกตัวโดยเฉพาะกับเกียร์ออโต้ ไม่ค่อย ๆ เหยียบคันเร่งปล่อยให้เกียร์ได้ไต่ระดับตามระบบการทำงานอย่างที่ควรจะเป็น ทำแบบนี้ “ยังไงพัง” แถมยังส่งผลให้เกียร์ลื่น ชิ้นส่วนภายในเกียร์สึกหรอ รวมถึงมีโอกาสผ้าคลัทช์จะไหม้อีกต่างหาก

4 พื้นฐานการดูแลเกียร์รถยนต์ ใช้รถทุกคนต้องรู้

จุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่เริ่มต้นจากการเอาใจใส่ อาจทำให้รถยนต์คู่ใจของคุณ มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น แถมยังช่วยลดปัญหาจุกจิกที่อาจจะตามมาได้เป็นอย่างดี เพียงทำตามวิธีการดังต่อไปนี้

1. เลือกน้ำมันเกียร์ให้เหมาะกับชนิดของเกียร์

“น้ำมันเกียร์” ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ ควรเปลี่ยนถ่ายตามระยะและจำเป็นจะต้องเลือกใช้ให้ถูกประเภทด้วย ไม่อย่างนั้นอาจจะต้องปาดเหงื่อได้จากค่าซ่อม รถแต่ละประเภทจะกำหนดเอาไว้เลยว่า ควรใช้น้ำมันเกียร์แบบไหน เช่น หากรถของคุณเป็นเกียร์ออโต้แต่กลับเอาน้ำมันเกียร์ธรรมดามาใส่ อาจมีปัญหาในการใช้งาน จากความแตกต่างกันของน้ำมันเกียร์ทั้ง 2 ประเภทคือ น้ำมันเกียร์ออโต้จะมีความหนืดที่ “น้อยกว่า” สามารถแทรกซึมเข้าไปในฟันเฟืองได้ง่าย สามารถทนต่อความร้อนได้ดี และที่สำคัญ ! มีสารต่าง ๆ มากมายที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานให้ดียิ่งขึ้น

2. ตรวจเช็กเกียร์บ่อย ๆ

เมื่อคุณใช้รถใช้ถนนทุกวัน สิ่งที่คุณควรใส่ใจคือ “การสังเกต” สังเกตความผิดแปลกของเกียร์เมื่อตอนใช้งานขับขี่ เช่น เกียร์ลื่นหรือไม่ เกียร์กระตุกเกินไปหรือเปล่า มีเสียงที่ผิดแปลกไปจากเดิมหรือไม่ หรือหลังจากขับลุยน้ำท่วม ผ่านเส้นทางสมบุกสมบัน อย่าลืมตรวจสอบในห้องเกียร์ว่ามีน้ำเข้าไปหรือเปล่า ถ้าหากปล่อยไว้นาน ใช้รถไม่หมั่นสังเกตความผิดปกติ เมื่อปัญหาใหญ่เกิดขึ้นจนรถวิ่งไม่ได้ “เกียร์พัง” รับรองว่าคุณจะต้องพบเจอกับค่าซ่อมที่สูงมากอย่างแน่นอน

3. เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามระยะ

น้ำมันเกียร์มีระยะการเปลี่ยนถ่ายไม่ต่างจากน้ำมันเครื่องแม้แต่น้อย ถ้าหากน้ำมันเกียร์เกิดเสื่อมสภาพ ประกอบกับคุณเองยังฝืนใช้งานต่อไปเรื่อย ๆ แน่นอนว่าจะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดน้อยลง นอกจากนี้ยังทำให้เกียร์เกิดการสึกหรอได้อีกด้วย ทางที่ดีแนะนำให้เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ทุก ๆ 1 ปี หรือถ้าหากวัดเป็นระยะทาง ห้เปลี่ยนในช่วง 20,000-40,000 กิโลเมตรดีที่สุด แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้รถของคุณด้วย

 

ใช้รถในเมือง ต้องขับ ๆ จอด ๆ กับรถติด ๆ เกียร์ออโต้จะช่วยให้การขับขี่นั้นง่ายขึ้น ส่วนเกียร์ธรรมดาหรือ “เกียร์กระปุก” หากใช้รถนอกเมืองบ่อย ๆ บนเส้นทางขับขี่ได้ยาว ๆ ไม่ต้องเจอรถติด เกียร์ธรรมดาก็เพียงพอสำหรับการใช้งาน แถมยังประหยัดน้ำมันได้มากกว่าเล็กน้อยจากการที่เลือกเปลี่ยนเกียร์ได้เองของผู้ขับขี่ตามรอบเครื่อง  ซึ่งเมื่อพูดถึงเรื่องการดูแลเกียร์ น้ำมันเกียร์คือปัจจัยสำคัญ นอกจากต้องตรวจสอบระดับน้ำมันเกียร์ว่าอยู่ในเกณฑ์ความต้องการของรถและหมั่นเปลี่ยนถ่ายตามระยะ การเลือกใช้น้ำมันเกียร์คุณภาพได้มาตรฐานก็สำคัญไม่แพ้กัน น้ำมันเกียร์จาก BEZ คือคำตอบสุดท้ายของรถคุณ เปลี่ยนน้ำเครื่องครั้งต่อไป อย่าลืม ! เจาะจงเลือกใช้ น้ำมันเกียร์คุณภาพจาก BEZ เท่านั้น